หนาวลม ชมวัฒนธรรม ดื่มด่ำธรรมชาติ ในบรรยากาศ ‘เมืองเลย’
ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า และเริ่มเคานท์ดาวน์รับเช้าวันปีใหม่ คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการออกไปไล่ล่าไขว่คว้าหาลมหนาวแห่งฤดูกาล อันยากจะพานพบได้ในกรุงเทพฯ ที่ความหนาวเดินทางมาถึงล่าช้ากว่ากำหนดนี้ และเมื่อนึกถึงแดนดินถิ่นหนาวของไทยเรา จังหวัดเลยย่อมมาเป็นอันดับแรก และอยากจะบอกว่า จังหวัดเลย ไม่ได้มีเพียงภูกระดึง หรือเชียงคานเท่านั้น แต่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจอีกมากมาย ซึ่งเราอยากแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้ลองไปเที่ยวชมดู
ก่อนอื่นเรามารับทราบข้อมูลจังหวัดเลยกันสักนิด จังหวัดเลย เป็นจังหวัดชายแดน ตั้งอยู่เกือบจะเหนือสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพรมแดนทางทิศเหนือติดกับประเทศลาว ภูมิประเทศประกอบไปด้วยภูเขาใหญ่น้อยประมาณร้อยละ 70 มีอากาศหนาวเย็นและมีหมอกปกคลุมอยู่เสมอ อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ 550 กิโลเมตร
เราออกเดินทางจาก กทม.ในช่วงสายๆ ของ 3-4 วันสุดท้ายปลายเดือนธันวาคม มุ่งหน้าสู่จังหวัดเลย “เมืองแห่งทะเลภูเขา สุดหนาวในสยาม ดอกไม้งามสามฤดู” และถึงที่นั่นในตอนค่ำ ได้สัมผัสกับความหนาวจัดในทันทีที่ไปถึง หลังจากหลับสนิทไปด้วยความเหนื่อยอ่อนทั้งคืน เมื่อตื่นขึ้นมาในวันใหม่เราจึงไปนมัสการ พระธาตุศรีสองรัก อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเลย เพื่อเป็นศิริมงคลกันก่อนออกตระเวนล่าหาบรรยากาศ “หนาวที่สุดในประเทศไทย” จากสถานที่ต่างๆ ของจังหวัดเลยกันต่อไป
วัดพระธาตุศรีสองรัก
ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภอด่านซ้ายประมาณ 1 กิโลเมตร หรือห่างจากตัวเมืองจังหวัดเลย 83 กิโลเมตร ตามทางหลวง 203 แยกขวากิโลเมตรที่ 66 เข้าทางหลวง 2013 อีก 15 กิโลเมตร ถึงอำเภอด่านซ้ายแล้วแยกขวาเข้าเส้นทาง 2113 อีก 1 กิโลเมตร
พระธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นเพื่อ เป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างกรุงศรีอยุธยา(สมัยพระมหาจักรพรรดิ) และกรุงศรีสัตนาคนหุต (ปัจจุบันคือ เวียงจันทร์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) ในสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ รุกรานดินแดนต่าง ๆ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิและพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จึงตกลงรวมกำลัง เพื่อต่อสู้กับพม่า จึงทรงกระทำสัตยาธิษฐานว่าจะไม่ล่วงล้ำดินแดนของกันและกันระหว่างไทยและลาว และเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีต่อกัน จึงได้ร่วมกันสร้างพระธาตุศรีสองรักเพื่อเป็นสักขีพยาน ณ กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำน่านและแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นรอยต่อของทั้งสองราชอาณาจักร ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ชาวอำเภอด่านซ้ายจะร่วมกันจัดงานสมโภช โดยนำต้นผึ้ง (ประดิษฐ์จากโครงไม้ไผ่เป็นทรงหอปราสาทขนาดกว้าง 2 ฟุต สูง 2 ฟุตเศษ กรุรอบด้วยลวดลายงานแทงหยวกจากนั้นประดับด้วยแผ่นเทียนกลม ๆ บาง ๆ จับเป็นกลีบดอก ตรงกลางติดดอกบานไม่รู้โรย หรือขมิ้นหั่นเล็ก ๆ ) มาถวาย เป็นประเพณีประจำปี
ไม่ควรนำสิ่งของ ดอกไม้สีแดง หรือแต่งกายด้วยชุดสีแดงขึ้นไปนมัสการพระธาตุศรีสองรัก เพราะองค์พระธาตุสร้างขึ้นเพื่อสัจจะและไมตรี สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของเลือด สงครามและความรุนแรง ไม่ควรกางร่ม สวมหมวกและสวมรองเท้าขึ้นไปบนพระธาตุ ไม่ควรนำเด็กต่ำกว่า 3 ปีขึ้นไปนมัสการ
วัดเนรมิตวิปัสสนา
ซึ่งอยู่บนเนินเขาห่างจากพระธาตุศรีสองรักษ์ประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ เป็นวัดที่มีพระอุโบสถทำจากศิลาแลงที่สวยงาม มีการจัดแต่งสวนต้นไม้ไว้อย่างร่มรื่นโดยรอบ ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธราชชินราชจำลอง และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างเขียน ชาวด่านซ้าย สร้างขึ้นในสมัยที่หลวงพ่อมหาพัน หรือพระครูภาวนาวิสุทธิญาน เจ้าอาวาสรูปแรก ต่อมาหลังจากที่ท่านได้มรณภาพลงแล้วปรากฏว่าสังขารของท่านมิได้เน่าเปื่อย ทางวัดจึงได้จัดสร้างมณฑปเพื่อประดิษฐานร่างของท่านไว้เป็นที่สักการะบูชาด้านหลังพระอุโบสถ
วัดเนรมิตวิปัสสนา เป็นวัดปฏิบัติธรรมที่สำคัญของจังหวัดเลยแห่งหนึ่ง ได้รับเลือกจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่น ประจำปี 2552
พิพิธภัณฑ์ผีตาโขน
ผีตาโขนเป็นการละเล่น ในงานประเพณีบุญพระเวสและงานบุญบั้งไฟ ในช่วงเดือน ๗ หรือราวเดือนมิถุนายน ที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวอีสาน แต่ทุกวันนี้ก็หาชมได้ยาก ที่ยังเหลืออยู่และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศคือ ผีตาโขนที่ อ. ด่านซ้าย อันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดเลย
การเดินทางไปชมพิพิธภัณฑ์ผีตาโขนจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 203 เส้นเลย-ภูเรือ แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2013 อีก 15 กิโลเมตร ถึงอำเภอด่านซ้ายจากนั้นแยกขวาเข้าเส้นทาง 2113 อีก 1 กิโลเมตรผ่านวัดพระธาตุศรีสองรัก จากนั้นขับตรงไปถึงที่ว่าการอำเภอด่านซ้าย เดินทางตรงมาอีกผ่าน สภอ.ด่านซ้าย และตลาดด่านซ้าย เลยสะพานข้ามไปเล็กน้อยจะเห็นวัดโพนชัยอยู่ทางซ้ายมือ พิพิธภัณฑ์ผีตาโขนตั้งอยู่ภายในวัดโพนชัย จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเมืองด่านซ้าย สาธิตทำหน้ากากผีตาโขนและสินค้าของที่ระลึกผีตาโขนในรูปแบบต่างๆ สามารถเข้าชมและเลือกซื้อสินค้าได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-17.00 น. นอกจากนี้ยังมีอุโบสถ ซึ่งเป็นฝีมือของช่างท้องถิ่น และพระธาตุศรีสองรักจำลอง ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานบุญพระเวสและงานบุญต่าง ๆ รวมทั้งการจัดงานประเพณีบุญหลวง และการละเล่นผีตาโขนอีกด้วย สอบถามข้อมูลได้ที่ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนอำเภอด่านซ้าย โทร. 0 4289 1094
อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย
ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย สามารถเดินทางจากตัวจังหวัดโดยใช้เส้นทางหมายเลข 203 ระยะทาง 68 กิโลเมตร ถึงทางแยกบ้านโคกงามเลี้ยวขวาตามเส้นทางหมายเลข 2031 ระยะทาง 12 กิโลเมตร ถึงอำเภอด่านซ้าย เลี้ยวขวาตามเส้นทางหมายเลข 2113 ไปอีก 32 กิโลเมตร ถึงอำเภอนาแห้ว จากอำเภอนาแห้วเดินทางต่ออีก 4 กิโลเมตร ถึงบ้านเหมืองแพร่ เลี้ยวซ้ายตามเส้นทาง หมายเลข1268 ผ่านตำบลแสงภา และเลี้ยวขวาตามทางแยกบนทางหลวงหมายเลข 1268 หลักกิโลเมตรที่ 0 อีกประมาณ 3 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสวนทราย(นาแห้ว)
อุทยานแห่งชาติภูสวนทรายมีสภาพเป็นขุนเขาสูงสลับซับซ้อน และผืนป่าดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวจัดจึงเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาสัมผัสอากาศหนาวเย็น ด้วยการกางเต็นท์นอนชมดาวกันทุกปี โดยมีเนิน 1408 เป็นจุดสูงสุดบนภูตีนสวนทราย มีความสูง 1,408 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง จุดนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดภูที่สวยมาก ในยามเช้าของฤดูหนาว จะเห็นทะเลหมอกที่งดงาม บริเวณนี้มีที่ราบสันเขาเหมาะที่จะกางเต็นท์พักผ่อน เป็นลาน กางเต็นท์ที่สูงที่สุดในภาคอีสาน
จากทางขึ้นภูสวนทรายโดยเริ่มที่ ที่ทำการอุทยานฯ สามารถชมฟาร์มเต่าปูลู เป็นเต่าที่ไม่สามารถหดหัวได้เหมือนเต่าชนิดอื่นๆ หัวและปากคล้ายกับนกแก้ว เป็นเต่าชนิดมีหางยาว อุปนิสัยชอบเก็บตัวเงียบ ๆ และไม่ชอบเสียงดัง .. หลบซ่อนและพรางตัวในซอกหินตามลำธาร ซึ่งพบได้ที่นี่เท่านั้น
เราขับรถขึ้นภูต่อไปผ่านหมู่บ้านห้วยน้ำผักระยะหนึ่งก็มาถึง น้ำตกตาดเหือง หรือน้ำตกมิตรภาพไทย – ลาว อยู่ในลำน้ำเหือง เป็นแม่น้ำแบ่งเขตพรมแดนระหว่างประเทศไทย – สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีลักษณะลดหลั่นกัน 3 ชั้น สูงประมาณ 50 เมตร กว้าง 25 เมตร มีน้ำไหลตลอดปี สภาพป่าบริเวณรอบๆ มีต้นไม้ขึ้นปกคลุม เหมาะสำหรับการพักผ่อนชมธรรมชาติริมน้ำเท่านั้น โดยมีป้ายห้ามลงเล่นน้ำ เพราะน้ำไหลแรงและวน อาจเป็นอันตรายได้ อีกทั้งยังกำหนดเวลาให้เข้าไปเที่ยวชมระหว่าง 08.00 – 17.00 น. เท่านั้น
จากนั้นเราก็ออกเดินทางเพื่อมาหมู่บ้านบ่อเหมืองน้อยชมการทำไร่สตรอเบอรี่และถั่วแมคาเดเมีย แหล่งผลิตหนึ่งเดียวในอีสาน ซึ่งรสชาติเมื่อเก็บจากต้นสดๆ ใหม่นั้น เปรี้ยวอมหวานอร่อยประทับใจมากชนิดที่จะหาแบบนี้ได้ในกรุงเทพฯยากยิ่ง ที่นี่ยังมีบริการโฮมสเตย์ให้พักสัมผัสวิถีชาวบ้านด้วย ค่าบริการห้องพักต่ำกว่า 500 บาท/คน/คืน รวมอาหาร 3 มื้อ จุดเด่นของที่พักคือแยกเป็นสัดส่วน ในบรรยากาศโอบล้อมด้วยธรรมชาติ อากาศเย็นสบาย ท่ามกลางสวนผลไม้เมืองหนาว อาทิ แมคคาเดเมีย สตรอเบอรี่ อะโวคาโด และผักเมืองหนาวปลอดสารพิษ ฤดูการท่องเที่ยวช่วงหน้าหนาว พ.ย.- กพ. มีผักผลไม้เมืองหนาวให้รับประทาน อาทิ สตรอเบอรี่ มะคาเดเมีย เห็ดหอม บอคเคอรี่ มิย. – กย. มีพลับ อะโวคาโด หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ 089-8411374, 03-3406488
เมื่อชิมสตรอเบอรี่สดจนอิ่มหนำสำราญแล้วเราก็เดินทางมาชมความตระการตาของภูไทย – ลาว ภูไทย – ลาว หรือภูหัวห้อม อันเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทิวเขาอันงดงามของประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้อย่างชัดเจน
สำหรับบริการที่พักบนภูสวนทรายนี้ ท่านสามารถจองได้ด้วยตนเองผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่www.dnp.go.th ของกรมเท่านั้น ไม่มีตัวแทนภาคเอกชนรายใดทั้งสิ้น โดยจองล่วงหน้าได้ 60 วัน จองต่อเนื่องได้ครั้งละ 3 วัน กำหนดชำระเงินภายใน 2 วันทำการ ณ เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขาทั่วประเทศหรือโทร0 2562 0760
วัดศรีโพธิ์ชัย
เพื่อเป็นการอำลาภูสวนทรายและรับศิริมงคลในการเดินทางข้างหน้าต่อไป วัดนี้เป็นวัดที่ ททท.ถ่ายภาพยนตร์โฆษณาโปรโมทการท่องเที่ยวแห่งหนึ่งนั่นเอง วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ อายุกว่า 400 ปีมาแล้ว ภายในวัดมีพระพุทธรูปโบราณคู่บ้านคู่เมืองมาหลายชั่วอายุคน มีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติและวรรณกรรมท้องถิ่นที่ผนังด้านทิศเหนือมีจารึกว่าภาพเขียนดังกล่าวเขียนขึ้นเมื่อจุลศักราช 1214 ตรงกับพ.ศ. 2395 ตรงกับช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและที่ด้านนอกพระอุโบสถหลังเดียวกันนี้ยังมีภาพจิตรกรรม ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยหลังคือเมื่อปี พ.ศ. 2459 นับเป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุที่มีค่ายิ่งแห่งหนึ่งของจังหวัดเลย
วัดโพธิ์ชัยนาพึง
ที่นี่ก็เป็นอีกวัดเก่าแก่ที่มีสิ่งน่าสนใจ คือหอพระไตรปิฎกไม้เก่าแก่ที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นหอพระไตรปิฎกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ภายในวิหารของวัดมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างพื้นเมืองที่งดงาม มีพระพุทธรูปชื่อว่า พระเจ้าองค์แสน หรือพระฝนแสนห่า เพราะมีเรื่องเล่ากันว่าพระพุทธรูปนี้อยู่ที่ใดที่นั่นฝนจะไม่แล้งเลย โบสถ์, วิหาร และพระพุทธรูปที่วัดแห่งนี้ กรมศิลปากรได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่ามีอายุกว่า 400 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นโบราณสถานที่มีค่ายิ่งของจังหวัดเลย
อุทยานแห่งชาติภูเรือ
ซึ่งมีอาณาเขตด้านทิศเหนืออยู่ติดกับประเทศลาว มีรูปพรรณสันฐานเหมือนเรือใหญ่บนยอดดอยสูง โดยรอบๆ จะเห็นยอดดอยเป็นขุนเขาน้อยใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกละอองขาว และป่าอันอุดมสมบูรณ์ โดยมียอดเขาสูงที่สุดคือ ยอดภูเรือ มีความสูง 1,365 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นหน้าผาสูงชัน พื้นที่โดยรอบปกคลุมด้วยป่าสนเขา ทั้งสนสองใบและสนสามใบ สลับกับลานหินธรรมชาติ มีอากาศเย็นตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะหนาวเย็นมาก จนกระทั่งน้ำค้างบนยอดหญ้าจะแข็งตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งมีภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “แม่คะนิ้ง” ผู้ที่จะไปพักผ่อนจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมที่จะผจญกับความหนาวเย็น จากจุดนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามได้รอบด้านกระทั่งเห็นแม่น้ำเหือง และแม่น้ำโขง ซึ่งกั้นพรมแดนไทย – ลาว บนยอดภูเรือยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนาวาบรรพต ซึ่งชาวภูเรืออัญเชิญมาจากอยุธยาด้วย จากยอดภูเรือมีเส้นทางเดินป่าผ่านบริเวณที่มีดอกไม้เล็กๆ เช่น กระดุมเงิน ดาวเรืองภู เปราะภู ซึ่งออกดอกสวยงามในช่วงหน้าหนาว ที่ป่าสนบริเวณ ทุ่งกวางตาย มีดอกกระเจียวบานในช่วงต้นฤดูฝนราวเดือนพฤษภาคม นอกจากนั้นยังมี ลานหินพานขันหมาก เป็นลานหินแตกเป็นรอยตื้นๆ ที่จะพบดอกไม้ที่ชอบขึ้นตามลานหิน เช่น เอื้องม้าวิ่ง อยู่ทั่วไป เส้นทางเดินป่าจะวกกลับไปลานกางเต็นท์ในบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติ จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามของภูเรือมีชื่อว่า ผาโหล่นน้อย สามารถมองเห็นยอดภูต่างๆ ที่รายล้อมอยู่ เมื่อรวมกับเมฆหมอกในยามเช้าแล้ว จึงดูเหมือนทะเลภูเขามาก
นอกจากนี้ทางอุทยานฯ ได้จัดเตรียมบ้านพักไว้ให้บริการในบริเวณที่ทำการอุทยานฯ จำนวน 7 หลัง
พร้อมสถานที่กางเต็นท์ ไว้ให้บริการ การสำรองที่พักเต็นท์สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดและสำรองที่พักเต็นท์ได้กับอุทยานแห่งชาติโดยตรง ที่ โทร 0 4288 1716, 0 4288 4144
*สำหรับอัตราค่าบริการอยู่ระหว่าง 250-800 บาท กรณีที่นำเต็นท์ไปกางเอง ต้องเสียค่าบริการสถานที่ 30 บาท/คน/คืน หากไม่มีเครื่องนอนสามารถใช้บริการเครื่องนอนและอุปกรณ์สนามของอุทยานฯ ได้ในอัตราค่าบริการ ราคา 150-200 บาท/ชุด/คืน
สถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเรือ
ตั้งอยู่ตำบลปลาบ่า ที่นี่เป็นที่ตั้งของสถานีทดลองปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ปลูกพืชผักผลไม้เมืองหนาวเพื่อนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าทดลอง เผยแพร่ออกไปให้แก่เกษตรกร สถานีทดลองเกษตรที่สูงแห่งนี้ โอบล้อมด้วยทิวทัศน์ของภูเขาสูง และอากาศที่หนาวเย็น นักท่องเที่ยวสามารถเลือกชม ศึกษาแปลงทดลองการเกษตรภายในสถานีฯ ได้ โดยมีจุดที่น่าสนใจได้แก่ แปลงไม้ดอกเมืองหนาว อันถือเป็นจุดเด่นของสถานีฯ ทีเดียว เนื่องจากเนื่องจากจุดที่ตั้งของสถานีฯเป็นจุดที่ปลูกต้นไม้ดอกไม้ ประดับเมืองหนาวได้มากมายหลายชนิด เทียบเท่ากับพื้นที่ทางเหนืออย่างเชียงใหม่ เชียงราย แต่ที่นี่จะพิเศษกว่าตรงที่หนาวก่อน และหนาวยาวนานกว่า จึงสามารถจะมาเที่ยวชมความงามของดอกไม้ประดับเมืองหนาวที่นี่ได้ก่อน และระยะเวลาในการบานอวดสีสันของบรรดาไม้ดอกเหล่านี้ก็จะอยู่คงทนต่อไป จนถึงราวเดือนมีนาคมเลยทีเดียว นอกแปลงไม้ดอกเมืองหนาวแล้ว ก็มี ทุ่งซัลเวียและแปลงรวบรวมไม้ผลเมืองหนาว, แปลงไม้กฤษณา, สวนไม้หอมเฉลิมพระเกียรติ, แปลงสตรอเบอรี่, แปลงมะคาเดเมีย, โรงเรือนเพาะชำไม้กระถาง
สถานีฯ มีบ้านพักรองรับนักท่องเที่ยว ได้ 2 หลัง แต่ละหลังพักได้ตั้งแต่ 6-10 คน มีที่กางเต็นท์ ตรงบริเวณลานสนสาใบ อยู่ไม่ไกลจากอาคารสำนักงานมากนัก สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 100 คน มีโรงครัวกลางขายอาหารตามสั่ง ทั้งนี้หากไปในช่วงวันเสาร์ – อาทิตย์ ควรติดต่อไปล่วงหน้า ที่ โทร 042-891199, 042-891398
วัดป่าห้วยลาด
ในเขตอำเภอภูเรือ เพื่อขอพรปีใหม่ ให้เป็นปีที่สดใสสำหรับเราและผู้อ่านทุกท่านก่อนกลับสู่กรุงเทพฯ วัดป่าห้วยลาด ตั้งอยู่บนเส้นทาง เลย-ด่านซ้าย ในระยะทางห่างจากอำเภอภูเรือมาทางทิศตะวันออก 7 กิโลเมตร ห่างจากจังหวัดเลย 42 กิโลเมตร ถือเป็นพุทธมณฑลของจังหวัดเลย เดิมเป็นสำนักสงฆ์ที่ก่อตั้งโดยหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ จากสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ต่อมาพระอาจารย์อุทัย ได้ธุดงค์ผ่านมาพบว่าเป็นสถานที่ควรแก่การทำนุบำรุงยกระดับให้เป็นวัดที่มั่นคงสืบไป จึงได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหินหมากเป้ง มาจำพรรษาเพื่อพัฒนาที่นี่ ในปี 2549 อันเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ทางวัดจึงได้จัดสร้างศาลาเฉลิมพระเกียรติ บุญญสิริ ถวายเป็นพระราชกุศล และเพื่อให้เป็นพุทธมณฑลแห่งจังหวัดเลย เป็นศูนย์กลางศึกษาและเผยแผ่ธรรมะแก่ประชาชนทั่วไป นับว่าเป็นวัดที่มีความสงบร่มรื่นเหมาะแก่การปฎิบัติธรรมเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าจังหวัดเลยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่นว่าหากท่านผู้อ่านจะเลยไปเที่ยวเชียงคานต่อ หรือ สวนหินผางามที่อำเภอหนองหิน พระธาตุสัจจะ ที่อำเภอท่าลี่ หรือไปข้ามสะพานมิตรภาพแม่น้ำเหือง ไทย-ลาว ฯลฯ ก็ย่อมทำได้ถ้าท่านมีเวลาพอ แต่สำหรับคู่หูเดินทางเรามีหน้ากระดาษจำกัดเพียงเท่านี้ จึงต้องขอยกเรื่องราวที่น่าสนใจในจังหวัดเลยไว้ในโอกาสต่อไป
TIPS การเดินทาง
• รถยนต์ส่วนตัว
เส้นทางที่ 1 : จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ผ่านตัวเมืองสระบุรี จากนั้นเข้าทางหลวงหมายเลข 21 ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 203 ผ่านอำเภอหล่มสัก หล่มเก่า เข้าเขตจังหวัดเลยที่อำเภอด่านซ้าย อำเภอภูเรือ ถึงตัวเมืองเลยใช้เวลาเดินทางประมาณ 7-8 ชั่วโมง
เส้นทางที่ 2 : จากจังหวัดสระบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 2 ผ่านจังหวัดนครราชสีมา ถึงจังหวัดขอนแก่น รวมระยะทาง 536 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 201 เข้าเขตจังหวัดเลยที่อำเภอ ภูกระดึง อำเภอวังสะพุง ถึงตัวเมืองเลย รวมระยะทาง 540 กิโลเมตร
• รถโดยสารประจำทาง
บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารประจำทางวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-เลย ทุกวัน ทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง รายละเอียดสอบถามที่สถานีขนส่ง หมอชิต ถนนกำแพงเพชร 2 โทร. 0 2936 2841-8, 0 2936 2852-66 หรือ www.transport.co.th
นอกจากนั้นยังมีบริษัทเดินรถเอกชนที่วิ่งบริการ ได้แก่ บริษัท แอร์เมืองเลย จำกัด กรุงเทพฯ
โทร. 0 2936 0142 สาขาเลย โทร. 0 4283 2042 ห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุมแพ ทัวร์ กรุงเทพฯ โทร. 0 2936 3842 สาขาเลย โทร. 0 4283 2285 บริษัท เพชรประเสริฐ จำกัด กรุงเทพฯ โทร. 0 2936 3230 สาขาอำเภอภูเรือ โทร. 0 4289 9386 สาขาอำเภอด่านซ้าย โทร. 0 4289 1908
3,972 total views, 1 views today